Sunday, August 19, 2007

ณ จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ อนาคตโลก .อนาคตไทย (1)

โดย ยุค ศรีอาริยะ ผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2550



.
วันนี้ สภาวะวิกฤตธรรมชาติดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และก่อตัวขึ้นหลายจุดในโลกพร้อมๆ กัน ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอากาศร้อนจัดอย่างไม่เคยมีมาก่อน คนนับร้อยตายด้วยคลื่นความร้อนในยุโรป ประเทศญี่ปุ่นก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ประชาชนจีนต้องเผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่

ดูราวว่า ธรรมชาติกำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้มนุษยชาติรับรู้เสมือนอยากสื่อบอกเราว่า

“วิบัติภัยครั้งใหญ่ และรุนแรงอย่างยิ่ง กำลังใกล้มาถึง”

ในยามที่ธรรมชาติตั้งเค้าวิกฤตใหญ่ วิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตน้ำมัน และ วิกฤตค่าเงินดอลลาร์) ก็ก่อขยายตัวขึ้น ในขณะเดียวกัน ระบบการเมืองก็วิกฤต เกิดสงคราม และการเข่นฆ่ากัน

ผู้คนจำนวนหนึ่งมักจะเดินหลงทาง หลงเข้าสู่โลกแห่งสงคราม เข่นฆ่า และทำลายล้างกัน

โดยที่ไม่มีใครสักคนเข้าใจว่า

“การใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาคือ อวิชชา”

การฆ่า และการทำลายล้างกัน ยิ่งเพิ่มพูนกระแสแห่งวิกฤตให้รุนแรงขึ้นไปอีก ทางออกจากวิกฤตจึงยิ่งมืดมนลง

วันก่อนเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งโดยบังเอิญ ท่านเป็นนักลัทธิมาร์กซ์ ที่ยังคงยืนหยัดในความเป็นลัทธิมาร์กซ์ ท่านนำเสนอแนวคิดว่า วันนี้ พวกเราต้องโค่นล้ม “ศัตรู” ซึ่งท่านหมายถึงบรรดาชนชั้นศักดินา

ท่านยังหลงเชื่อ “ทฤษฎีซ้ายโบราณ” ที่ชอบสอนให้คนทำสงครามทางชนชั้นกัน และคิดว่าเมื่อโค่นล้มชนชั้น (ศัตรู) ลงไปแล้ว ท้องฟ้าจะสีทองผ่องอำไพ

คนที่ศรัทธาอะไรอย่างสุดๆ ก็มักจะติดยึดกับความเชื่อของตัวเอง และคิดว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อ จริงแท้แน่นอน เป็นสัจธรรมสูงสุด

ผมตั้งประเด็นถามว่า

“ถ้าประชาชนโค่นชนชั้นศักดินาลงไป แล้วบรรดานายทุนก็จะขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน คนยากจนจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจริงๆ หรือ”

ความจริงตามหลักทฤษฎีมาร์กซ์แล้ว ชนชั้นกรรมาชีพต้องโค่นล้มชนชั้นนายทุน เพราะบรรดานายทุนคือ “ศัตรู” ที่สำคัญที่สุดของชนชั้นกรรมาชีพ สำคัญมากกว่าบรรดาศักดินาเสียอีก เนื่องจากชนชั้นนายทุนคือ ชนชั้นที่กดขี่ขูดรีดชนชั้นกรรมาชีพโดยตรง

แต่ที่แปลกอย่างยิ่งกว่านี้คือ เพื่อนผมคนนี้ประกาศตัวว่าเป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพ แต่กลับศรัทธานายทุนเอามากๆ โดยเฉพาะนายทุนที่โคตรโกง อย่างเช่นคุณทักษิณ

วันก่อนไปสอนหนังสือปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

นักศึกษาคนหนึ่งถามผมว่า

“ทำไมกรรมการสิทธิมนุษยชนท่านหนึ่งจึงไปยืนอยู่ข้างผู้ที่มีประวัติในด้านสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายที่สุด เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ประเทศไทย”

ผมตอบว่า

“ไม่รู้เหมือนกัน ท่านอาจจะจงเกลียดจงชังเผด็จการทหารเอามากๆ”

ผมกล่าวถึงเรื่องนี้ ไม่ได้หมายความว่าบรรดาเพื่อนๆ ผมจำนวนหนึ่งที่ไปเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการคนรักทักษิณคิดผิด หรือกระทำผิด

เขากระทำอย่างเชื่อมั่นด้วยหลักคิดและทฤษฎีที่ช่วยยืนยันว่าที่พวกเขากระทำนั้นถูกต้อง (ตามจุดยืน และทฤษฎีที่พวกเขาหลงเชื่อ)

คนยึดทฤษฎีแบบซ้ายเก่าๆ และแนวคิดต้านเผด็จการทหารแบบเก่าๆ จึงมักมีบทสรุปง่ายๆ ว่า “ศักดินา” มีค่าเท่ากับ “เลวทราม” และ “ล้าหลัง” และ “ทหาร” มีค่าเท่ากับ “เผด็จการ”

ผมบอกนักศึกษาว่า

ทฤษฎีเก่าๆ แบบนี้ แม้จะมีหลักการที่ดูดี แต่มีความจำกัดอยู่มาก จุดอ่อนที่สำคัญคือการนำเสนอหลักคิดในการอธิบายโลก แบบดำขาว ดีชั่ว ตายตัว และง่ายไป

ทฤษฎีพื้นฐานที่ผมใช้ในปัจจุบันคือ ทฤษฎี CHAOS ถ้าแปลเป็นภาษาไทย น่าจะแปลว่า ทฤษฎีพลวัตที่พลิกผัน

ทฤษฎีนี้มีหลักคิดพื้นฐานว่า ทุกหน่วยชีวิต รวมทั้งระบบสังคม มีความซับซ้อน และความพลิกผันเป็นพื้นฐาน ในยามที่สังคมเคลื่อนสู่การเปลี่ยนผ่าน สภาวะวิกฤต หรือความพลิกผันจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ตำแหน่งแห่งที่ หรือสภาวะชนชั้น และชั้นชน ตลอดจนความสามารถในการแยกแยะถูกผิด ดีชั่ว สับสนไปหมด

บรรดาผู้คนที่เป็นนายทุนศักดินาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกหัวเก่าล้าสมัยเสมอไป พวกเขาอาจจะหันไปสนใจปัญหาใหม่ๆ อย่างเช่น การคำนึงถึงเรื่องวิกฤตสิ่งแวดล้อม และวิกฤตวัฒนธรรมอย่างมากๆ

บรรดาทหารในยุคนี้ก็กลัวจะถูกหาว่าเป็น “เผด็จการ” อย่างมากๆ จนทำอะไรไม่ถูก และที่สำคัญการรัฐประหารครั้งนี้พลังที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังอำนาจของทหารคือ ทุนศักดินา และชนชั้นกลางที่ขัดแย้งกับฝ่ายทักษิโณมิกส์ ทั้งทุนศักดินาและชนชั้นกลางก็ล้วนปฏิเสธ หรือไม่สนับสนุนที่จะให้การเมืองไทยกลับสู่ยุคเผด็จการทหารอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ ในยุคโลกาภิวัตน์ ฐานะชนชั้นในระบอบเศรษฐกิจการเมืองก็พลิกผันไปอย่างมาก อย่างเช่น

บรรดา CEO ซึ่งมีฐานะเป็นลูกจ้างบริษัทขนาดใหญ่ บรรดานักกีฬาฟุตบอล และนักแสดงที่โด่งดังซึ่งมีค่ายสังกัดแน่นอน แม้จะมีฐานะเป็นลูกจ้าง หรือผู้ขายแรงงาน อาจจะร่ำรวยกว่าบรรดานายทุนเสียอีก

บรรดานักธุรกิจนายทุนจำนวนมากก็เลิกคิดเป็นนายจ้างหรือนายทุนที่หากำไรจากการจ้างงานไปแล้วเพราะสามารถเล่นหุ้นและเล่นเงินแบบเก็งกำไร จนกลายเป็นนักเล่นการพนันประเภทหนึ่งซึ่งสามารถทำกำไรมากกว่าการลงทุนอุตสาหกรรม

นี่คือ สภาวะโลกในยุคปัจจุบันที่พลิกผันอย่างยิ่ง

ที่สำคัญ ทฤษฎี CHAOS เสนอว่า บรรดาระบบสังคมที่พลิกผันอย่างยิ่งจะเคลื่อนตัวแบบไม่เป็นเส้นตรง แต่จะสวิงตัวแบบสุดๆ กลับไป กลับมา

สวิงไปทางซ้ายสุด แล้วก็หวนกลับมาทางขวาสุด

สิ้นช่วงอำมาตยาธิปไตยแล้ว ประชาชนไทยก็จะได้เผชิญหน้ากับระบอบประชาธิปไตยคอร์รัปชันอีก แล้วหลังจากนั้น เราก็ต้องช่วยกันโค่นระบอบประชาธิปไตยสกปรกกันใหม่ ถึงเวลานั้น ระบอบอำมาตยาธิปไตยก็มีโอกาสพลิกกลับมาใหม่อีก

นี่คือ วงจรอุบาทว์ที่มักจะเกิดขึ้นในบรรดาประเทศโลกที่สาม ที่สวิงไป สวิงมา ไม่สิ้น ไม่สุด

วันก่อนไปกินข้าวกับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เพื่อนตั้งประเด็นว่า

“ผมไม่ขอยืนอยู่กับฝ่ายไหนทั้งนั้น ไม่ได้หรือ”

ผมตอบว่า

“ได้” และกล่าวต่อว่า “จริงๆ แล้วในยามวิกฤต มนุษย์มีอิสระ และมีทางเลือกมากมาย หรืออยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรก็ได้”

ผมขยายความต่อว่า

“ที่สำคัญ อย่ามองวิกฤตในแง่ร้าย เพราะไม่เช่นนั้น เราจะไม่เห็นคุณค่าของวิกฤต”

ทฤษฎี CHAOS จะมองว่า วิกฤตเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง แต่เราต้องรู้จักเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ที่สำคัญ “วิกฤต” สอนให้เราคิด คิด และคิด...........เพื่อหาทางออก ออกจากวัฏจักรที่ไร้ทางออก

ผมอธิบายให้เพื่อนฟังต่อว่า

“ในช่วงวิกฤต การเป็นอิสระ ไม่เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เราสามารถคิดค้นหาทางออกได้โดยไม่ติดยึดอยู่กับความเชื่อ ผลประโยชน์ และจุดยืนที่จำกัดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

เมื่อเราต้องเผชิญทางตัน การคิดค้นใหม่ๆมีค่าอย่างยิ่ง แต่ถ้าจะคิดสิ่งใหม่ๆ ได้ ก็ต้องกล้ารื้อทิ้งจุดยืน ทฤษฎี และความเชื่อเก่าๆ ก่อน”

นอกจากนี้ โลกในยามสงคราม (วิกฤตที่รุนแรง) มักจะเกิดทางเลือกสายใหญ่อยู่ทางหนึ่ง แต่ผู้คนมักมองไม่เห็น หรือไม่เห็นค่า

นี่คือ เส้นทางสู่สันติภาพ

อย่างเช่น ในช่วงสงครามเวียดนาม นักศึกษาอเมริกันหันมาเคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพ

พวกเขาก้าวผ่านความเชื่อเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้นและสงคราม และกลับหันมาเชื่อว่า มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าผิวพรรณใด ชนชั้นใด ประเทศไหน ต่างก็คือเพื่อนร่วมชะตากรรม หรือเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น

ดังนั้น “ชุดความคิดที่หลงใหลในสงครามและการต่อสู้ทางชนชั้น” กับ “ชุดความคิดที่หลงเชื่อในเรื่องสันติภาพ” คือสองชุดความคิดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โลกทุกวันนี้ ยิ่งกระแสโลกเคลื่อนตัวสู่ “วิกฤต” และ “สงคราม”

ความเชื่อเรื่องสันติภาพ ก็ได้แพร่ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว และทั่วโลก

ผู้คนเริ่มตระหนักว่าการใช้ความรุนแรง หรือสงครามอาจจะไม่ใช่ “คำตอบ” หรือ “ทางออก”

แนวทางสันติภาพจะนำเสนอว่า มนุษย์ทุกคนในโลก ไม่ว่าชั้นชนใด ล้วนคือเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น และต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันทั้งหมด อย่างไม่มีทางเลือก

คนทุกคนทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตใหญ่ทางธรรมชาติที่รุนแรงอย่างยิ่ง

คนทุกคนทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม และวัฒนธรรมร่วมกัน

คนทุกคนทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตโรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

คนทุกคนทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตสงครามซึ่งกำลังขยายตัวแบบก้าวผ่านพรมแดนมากขึ้นเรื่อยๆ

คนทุกคนทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตความยากจน และความอดอยาก

ในกรณีหลัง ดูราวว่าเฉพาะคนจนๆ เท่านั้นที่ต้องเผชิญวิกฤตความยากจน แต่อย่าลืมไปว่า เมื่อบรรดาคนจนอดอยากมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต้องลุกขึ้นสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และช่วงชิงความมั่งคั่งจากบรรดาคนรวย

กล่าวโดยสรุป มนุษยชาติทุกคนกำลังจะต้องเผชิญวิกฤตใหญ่หลายวิกฤตพร้อมๆ กัน และร่วมกัน

นี่คือ ชะตากรรมร่วมของมนุษยชาติ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเกิดในชนชั้นใด มีผิวพรรณสีใด อยู่ในประเทศไหน และมีจุดยืนอย่างไร

เวลานี้ ทุกสภาวะวิกฤตที่กล่าวข้างต้นกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ระบบสังคมทั้งระบบก็จะเกิดการพลิกผันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้มนุษยชาติก้าวสู่ช่วงประวัติศาสตร์กลียุคใหญ่ หรือ CHAOS ใหญ่ ที่กำลังก่อตัวขึ้น ณ จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์

จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์คือ ช่วงจังหวะที่เกิดสภาวะวิกฤตหนักหน่วง และพลิกผันอย่างสุดๆ

เรากำลังก้าวย่างถึงจุดๆ นั้น

นี่คือ ชะตากรรมร่วมของมนุษยชาติที่หลีกเลี่ยงได้ยาก (โปรดติดตามตอนต่อไป ชะตากรรมร่วมของคนไทยทั้งแผ่นดิน)