Monday, July 17, 2006

หญิงสาวพเนจร

หญิงสาวพเนจร
ปลดฝันจากบ่วงมายา เปิดตามองความเป็นจริง
ปล่อยใจเรียนรู้สรรพสิ่ง เป็นหญิงเดินทางพเนจร


อยากจะบิน บิน บิน บินไป อยากจะเดินก้าวไปในโลกกว้าง
อยากจะฝันให้ถึงปลายรุ้งงาม อยากเติมความสดใสให้โลกสวย


เป็นหญิงสาวในโลกแห่งความฝัน มีแสงจันทร์ปลอบโยนห่วงใย
มีดวงดาวหลากสีอยู่มากมาย คอยส่องทางให้ก้าวไปถึงฝั่งฝัน


* เดินทาง เดินทางพเนจร หากเหนื่อยนักพักผ่อนนอนกองฟาง
อบอุ่นกับเรื่องราวสองข้างทาง เป็นหญิงสาวก้าวย่างอย่างอ่อนโยน


จะอ่อนโยนแต่จะไม่อ่อนแอ อาจท้อแท้อยู่บ้างยามแพ้พ่าย
อาจร้องไห้เมื่อหัวใจถูกทำร้าย แต่จะไม่ยอมพ่ายต่อมายา

จะไม่เป็นดอกไม้ของโลกทราม แต่จะสร้างโลกงามด้วยดอกไม้
บนเส้นทางของความฝันใฝ่ จะเดินทางท่องไปในคืนหนาว (ซ้า *)


เพลงนี้พอแต่งเพลงเสร็จ ก็เห่อ อยากให้ใครๆ ได้อ่านบ้าง เลยส่งเมล์อวดไปทั่ว
แต่งขึ้นมาล้อเพลงหนุ่มพเนจรของคาราวาน และนักแสวงหาของปู ที่เป็นเรื่องราวของผู้ชายเดินทาง เห็นว่าไม่มีเพลงการเดินทางที่เป็นเรื่องราวของผู้หญิงนักเดินทางบ้าง ทั้งๆ ที่มีผู้หญิงมากมายเดินทาง และฝันถึงโลกที่สวยงามเช่นกัน เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมา

ชอบตรง "จะไม่เป็นดอกไม้ของโลกทราม แต่จะสร้างโลกงามด้วยดอกไม้" เพราะคนมักเปรียบผู้หญิงเป็นดอกไม้ แต่เป็นดอกไม้ที่ให้แต่ความสวยงาม คิดว่าน้องๆ หลายคนคงไม่อยากเป็นแค่ดอกไม้สวยๆ เท่านั้นหรอก อีกตอนก็ตรง "จะอ่อนโยนแต่จะไม่อ่อนแอ อาจท้อแท้อยู่บ้างยามแพ้พ่าย อาจร้องไห้เมื่อหัวใจถูกทำร้าย แต่จะไม่ยอมพ่ายต่อมายา" เพราะเห็นว่าการท้อแท้เป็นเรื่องธรรมดา การร้องไห้เป็นเรื่องธรรมดา จะไปเก็บกด ไปห้ามมันทำไม แต่ไม่อยากเห็นคนเลิกเดินทาง เลิกใฝ่ฝันมากกว่า

เพลงนี้อาจดูตลกเพราะเป็นเพลงผู้หญิงแต่ผู้ชายแต่ง อย่างไรก็ดี ผมพยายามปรึกษาน้องๆ ผู้หญิงหลายๆ คนแล้วถึงเนื้อหา พวกเธอก็ไม่ว่าอะไร ผมเลยเหมาเอาว่าคงแทนความรู้สึกของพวกเธอได้บ้างมั้ง

เพียงเมืองใหญ่ไม่ไร้รัก

เพียงเมืองใหญ่ไม่ไร้รัก

· ในท่ามกลางคอนกรีตและอิฐเรียงราย

รุ้งยังทอสายให้ใจยังชุ่มฉ่ำ
ถนนสายยาวทอดกายสีทึมดำ

แต่ต้นไม้ยังร่ายรำอยู่ข้างทาง

· แม้เรื่องราวในเมืองใหญ่ต่างโหดร้าย
แต่ความรักยังมากมายแม้เลือนราง
ตึกแห้งแล้งคนรุ่มร้อนอาจกีดขวาง

แต่จิตใจหวังสร้างสรรค์ยังไม่แปร

· ฉันจึงยังรั้งกายในเมืองใหญ่
แม้ดวงใจจะร่ำไห้เพราะบาดแผล
แม้หลายครั้งดวงใจเจ็บอ่อนแอ

จะไม่แพ้ไม่พ่ายไม่ไร้หวัง

· ในเมืองใหญ่ใช่ว่าจะไร้ฝัน
ในบางวันมีเรื่องราวสร้างพลัง
มีรอยยิ้มมีน้ำใจอยู่ตามทาง

เมืองไม่ร้างคนไม่ไร้หัวใจฝัน

· ทิวเขาท้องนาและฟ้าคราม
นั้นงดงามใครต่างก็รู้กัน
แต่ดวงใจดวงไหนจะรู้ว่าทุกวัน

เมืองใหญ่นั้นมีความงามในความเศร้า

· น่าสงสารเมืองใหญ่ไร้คนรัก
บ้างมาพักบ้างอาศัยกันชั่วคราว
บ้างคิดเพียงหาเงินทุกค่ำเช้า

และเฝ้ารอโอกาสจากมันไป

· ต่างดั้นด้นต่างหากินต่างดิ้นรน
กระเสือกกระสนจนเข้ามาเมืองใหญ่
ต่างกอบโกยเสาะหาผลกำไร

แต่ไม่มีใครเลยหรือ...ที่รักมัน

· บ้างก่นด่าร้องหารัฐบาล
หาผู้ว่าหาราชการหาคนแก้
จะมีใครบ้างไหมไม่ยอมแพ้

ช่วยกันแก้ช่วยกันร่างร่วมสร้างสรรค์

· สร้างเมืองใหญ่ให้น่าอยู่กันดีไหม
เติมหัวใจใส่ความรักร่วมแบ่งปัน
คนละไม้ละมือร่วมช่วยกัน

ในฝันคงไม่นานจะเป็นจริง

· ฉันยังหวังจึงยังมีความฝันใฝ่
ขอเพียงใจของเราไม่ทอดทิ้ง
หากจะเริ่มสร้างสวรรค์ให้เป็นจริง

เรามีสิ่งที่เริ่มได้คือรักมัน

· ฉันจึงยังรั้งกายอยู่เมืองใหญ่...แม้จะไม่ค่อยมีใคร รักมัน


เยาววารี
ค่ำคืนอากาศเย็นในเมืองใหญ่ 23.55 น. 25 พฤศจิกายน 2541



บทนี้เขียนตอนที่ได้ยินเพื่อนฝูงพี่น้องบ่นเบื่อเมืองหลวง ไม่มีใครอยากอยู่กรุงเทพ นึกๆ ไปก็สงสารกรุงเทพ เลยเขียนขึ้นมา แต่เขียนแล้วรู้สึกว่าเหมือนบทกวีของวิทยุร่วมด้วยช่วยกันยังไงไม่รู้

นักสู้จากไปสักคนแล้วจะเป็นไรไปเล่า

นักสู้จากไปสักคนแล้วจะเป็นไรไปเล่า

ในอ้อมแขนแสนเหงาของเงาแห่งรัตติกาล
อีกไม่นานก็เช้าแล้ว… โลกยังคงหมุนไป
ใบไม้ยังคงร่วงกราวเมื่อคราวลมวูบไหว
ขาดนักสู้ผู้มีหัวใจอ่อนหวานไปสักคน… แล้วจะเป็นไรไปเล่า

ในท่ามกลางแสงแดดแผดกล้า
รถรายังวิ่งขวักไขว่ไปมาเหมือนเมื่อวาน
ธุรกิจการค้าแห่งโลกทุนนิยมเสรีก็ยังคงดำเนินงาน
ขาดนักสู้บ้านนอกไปสักคน… แล้วจะเป็นไรไปเล่า

เมฆขาวยังคงลอยเลื่อนอยู่ท่ามกลางหมอกหม่น
ชนบทยังคงยากเข็ญอย่างที่เคยเป็นมา
คนจนยังคงถูกความหิวโหยขับไล่ไปอยู่สลัมในเมืองฟ้า
ผู้คนในเมืองใหญ่ก็ยังคงไขว่คว้าหาเงาแต่เช้าจรดเย็น
ขาดนักสู้แห่งแดนสลัมไปสักคน… แล้วจะเป็นไรไปเล่า

โศกเศร้ารันทดเสียใจไห้หวนไปไย
นักสู้ของประชาชนจากไปคนแล้วคนเล่า
โลกของเราก็ยังคงหมุนไปดั่งเคย
มิได้ล่มสลายลงไปต่อหน้าเรา
ขาดนักสู้ผู้ฝันถึงโลกใหม่สีขาวไปสักคน แล้วจะเป็นไรไปเล่า…

ถามหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาแล้วนั่น
ถามตึกรามสูงใหญ่ แมกไม้เขียวราย สายธารน้ำใส …และหัวใจของคุณ ดูเถิด


เขียนถึงผู้คนร่วมโลกวันนี้
โลกที่ไม่มีวิลัยศักดิ์ ศรีภิรา
เยาววารี , 16 พฤศจิกายน 2543


เป็นบทกวีที่ผมชอบที่สุดบทหนึ่ง เขียนตอนใกล้เช้า เขียนถึงน้องคนหนึ่ง ไม่สนิทนัก แต่ก็รู้จักกันมานาน เขาทำงานสลัม วันหนึ่งระหว่างพักประชุมเขาลงไปข้างล่างสำนึกงาน เข้าใจว่ากำลังเขี่ยไม้ที่ค้างบนสายไฟ เลยถูกไฟดูด ตาย...
เพื่อนฝูงพี่น้องช่วยกันรวบรวมบทกวีของเขาเพื่อทำเป็นเล่ม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พิมพ์ บทกวีบทนี้เลยค้างเติ่งอยู่ในเครื่องคอมฯ มาหลายปี

บทกวีที่งดงาม

บทกวีปลุกเร้าความงดงามในใจเรา
ไม่มีบทกวีที่งดงาม
มีแต่จิตใจที่งดงาม


ผมชอบบทกวี แต่อ่านบทกวีไม่มากนัก เพราะมักรู้สึกว่าไม่มีบทกวีที่งดงามให้อ่าน ก็เลยเขียนบทกวีบทนี้ขึ้นมา
เก็บดอกไม้

อยากจะเด็ดดอกไม้ไปฝาก
แต่ไม่อยากพรากมันมาก่อนกาล
อยากเก็บเปลือกหอยหลากสีสัน
แต่ได้เพียงเก็บความงามไว้ในใจ

อยากจะเก็บก้อนหินมาฝาก
แต่ไม่อยากพรากมันจากผืนทราย
อยากให้เธอร่วมชื่นชมความงามอันสดใส
แต่ไม่อยากทำลายความสัมพันธ์

อยากให้รักเราไม่ทำร้ายใคร
เป็นรักที่สดใสและสร้างสรรค์
เปี่ยมเข้าใจด้วยรักและแบ่งปัน
ให้ฉัน ให้เธอ และโลกทั้งใบ

ฉันจะเก็บดวงดาวไว้ในดวงตา
จะเก็บดวงจันทราไว้ในดวงใจ
เก็บเรื่องราวงดงามมากมายเอาไว้
เก็บเอาไป เอาไปฝากเธอ

ค่ำคืนนี้สายลมหนาวผ่านมา
ฉันบอกลมไปว่าคิดถึงเธอเสมอ
ฝากความห่วงใยผ่านสายลมไปบอกเธอ
ให้ฉันให้เธอและโลกได้ผูกพัน
เป็นบทกวีที่เขียนไว้หลายปีแล้วล่ะ ดูเหมือนจะเขียนที่น้ำหนาว ตอนนั้นไปค่ายอะไรสักอย่างของ สนนอ. นี่แหละ แล้วมีน้องคนหนึ่ง เขาร้องเพลงประมาณว่าเก็บดอกไม้มาฝากใครสักคน เรารู้สึกว่า อย่าไปทำร้ายดอกไม้เลย ให้มันงดงามอยู่คู่ดินเถิด เลยเขียนบทกวีนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นก็แก้อีกหลายครั้ง จนออกมาแบบนี้แหละ