Monday, July 17, 2006

นักสู้จากไปสักคนแล้วจะเป็นไรไปเล่า

นักสู้จากไปสักคนแล้วจะเป็นไรไปเล่า

ในอ้อมแขนแสนเหงาของเงาแห่งรัตติกาล
อีกไม่นานก็เช้าแล้ว… โลกยังคงหมุนไป
ใบไม้ยังคงร่วงกราวเมื่อคราวลมวูบไหว
ขาดนักสู้ผู้มีหัวใจอ่อนหวานไปสักคน… แล้วจะเป็นไรไปเล่า

ในท่ามกลางแสงแดดแผดกล้า
รถรายังวิ่งขวักไขว่ไปมาเหมือนเมื่อวาน
ธุรกิจการค้าแห่งโลกทุนนิยมเสรีก็ยังคงดำเนินงาน
ขาดนักสู้บ้านนอกไปสักคน… แล้วจะเป็นไรไปเล่า

เมฆขาวยังคงลอยเลื่อนอยู่ท่ามกลางหมอกหม่น
ชนบทยังคงยากเข็ญอย่างที่เคยเป็นมา
คนจนยังคงถูกความหิวโหยขับไล่ไปอยู่สลัมในเมืองฟ้า
ผู้คนในเมืองใหญ่ก็ยังคงไขว่คว้าหาเงาแต่เช้าจรดเย็น
ขาดนักสู้แห่งแดนสลัมไปสักคน… แล้วจะเป็นไรไปเล่า

โศกเศร้ารันทดเสียใจไห้หวนไปไย
นักสู้ของประชาชนจากไปคนแล้วคนเล่า
โลกของเราก็ยังคงหมุนไปดั่งเคย
มิได้ล่มสลายลงไปต่อหน้าเรา
ขาดนักสู้ผู้ฝันถึงโลกใหม่สีขาวไปสักคน แล้วจะเป็นไรไปเล่า…

ถามหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาแล้วนั่น
ถามตึกรามสูงใหญ่ แมกไม้เขียวราย สายธารน้ำใส …และหัวใจของคุณ ดูเถิด


เขียนถึงผู้คนร่วมโลกวันนี้
โลกที่ไม่มีวิลัยศักดิ์ ศรีภิรา
เยาววารี , 16 พฤศจิกายน 2543


เป็นบทกวีที่ผมชอบที่สุดบทหนึ่ง เขียนตอนใกล้เช้า เขียนถึงน้องคนหนึ่ง ไม่สนิทนัก แต่ก็รู้จักกันมานาน เขาทำงานสลัม วันหนึ่งระหว่างพักประชุมเขาลงไปข้างล่างสำนึกงาน เข้าใจว่ากำลังเขี่ยไม้ที่ค้างบนสายไฟ เลยถูกไฟดูด ตาย...
เพื่อนฝูงพี่น้องช่วยกันรวบรวมบทกวีของเขาเพื่อทำเป็นเล่ม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พิมพ์ บทกวีบทนี้เลยค้างเติ่งอยู่ในเครื่องคอมฯ มาหลายปี

No comments: